0-2689-9120 info@tcja.or.th

“เหยา ซ่วย” ผู้ช่วยนักวิจัยจีนฯ เผยบทบาทสำคัญ “ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ” ย้ำหนุนประเทศกำลังพัฒนาเสริมแกร่งทุกมิติ โดยยึดหลักสัมพันธไมตรีมาก่อนผลประโยชน์ พร้อมชี้ข้อแตกต่างการช่วยเหลือระหว่างจีนและตะวันตก

ปักกิ่ง, 28 เมษายน 2568 – เวลา 09.00 น.ณ กรุงปักกิ่ง อาจารย์เหยา ซ่วย (Yao Shuai) ผู้ช่วยนักวิจัยจากสถาบันวิจัยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประสบการณ์กว่า 15 ปี ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีน” ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนไทย ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และศูนย์การศึกษาและฝึกอบรม สำนักสารนิเทศต่างประเทศแห่งประเทศจีน (CICG)

ในโอกาสนี้ ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ประธานหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน และที่ปรึกษาหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน ได้นำคณะผู้เข้าอบรมเข้าร่วมรับฟังการบรรยายด้วย

อ.เหยา ซ่วย ได้อธิบายถึงวิวัฒนาการของนโยบายความช่วยเหลือต่างประเทศของจีนตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 ถึงปัจจุบัน โดยเน้นแนวคิด
ที่สะท้อนผ่านสัญลักษณ์ ที่ใช้แทนโครงการความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนไปยังต่างประเทศ โดยโลโก้มีรูปทรงคล้ายปมเชือกแบบจีนโบราณ (หัตถกรรมถักปม) ซึ่งสื่อถึง “ความผูกพัน” และ “ความเป็นครอบครัวเดียวกัน” (One Family) ระหว่างจีนกับประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ สื่อความหมายถึงมิตรภาพ ความสามัคคี และการเติบโตร่วมกันอย่างใกล้ชิด

ช่วงปี ค.ศ.1950–1964 จีนเริ่มให้ความช่วยเหลือเวียดนามและเกาหลีภายใต้หลักความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมยึดถือ “หลักการ 8 ประการ” เช่น การเคารพอธิปไตยของประเทศผู้รับความช่วยเหลือ, การให้กู้เงินปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำ, และการสนับสนุนการพึ่งพาตนเอง เป็นต้น หลักการนี้ยังคงถูกใช้สืบมาจนถึงปัจจุบันในวาระครบรอบ 75 ปี ของความช่วยเหลือระหว่างประเทศของจีน

โดยหนึ่งในโครงการที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ“โครงการรถไฟแทนซาเนีย-แซมเบีย” (TAZARA Railway) ที่เริ่มก่อสร้างในช่วงต้นทศวรรษ 1970 หลังจากที่ประเทศแอฟริกาถูกปฏิเสธความช่วยเหลือจากธนาคารโลกและญี่ปุ่น จึงมาขอความร่วมมือจากประเทศจีน ซึ่งในขณะนั้น จีนได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แม้ต้องเผชิญความท้าทายด้านทรัพยากรและเทคโนโลยี พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญและแรงงานไปยังพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งบางส่วนได้เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงานกว่า 60 คน ปัจจุบันรถไฟสายนี้ยังคงใช้งานอยู่ แม้จะต้องมีการบูรณะอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จีนยังให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ เช่น การส่งแพทย์และพยาบาล, การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการแพทย์ต่อเนื่องยาวนานกว่า 60 ปี

เข้าสู่ทศวรรษ 1990 จีนได้ขยายแหล่งเงินทุนหลากหลายมากขึ้น รวมถึงการให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ และตั้งแต่ปี 2000 จีนได้ขยายโครงการขนาดใหญ่ไปยังภูมิภาคต่างๆ เช่น การจัดนิทรรศการจีน-อาเซียน และการริเริ่มโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ในปี 2013 ต่อมาในปี 2018 ก่อตั้งสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีน

ในปี ค.ศ. 2021 ประธานาธิบดี สีจิ้น ผิง ของจีน กล่าวสุทรพจน์ในงานประชุม Forum on China-Africa Cooperation (FOCAC) และได้เสนอข้อริเริ่ม “8 ด้านการช่วยเหลือ” เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ประกอบด้วย การต่อสู้กับโรคระบาด,การลดความยากจนและส่งเสริมการเกษตร,การส่งเสริมการค้า,การส่งเสริมการลงทุน,การเสริมสร้างนวัตกรรมดิจิทัล,การส่งเสริมการพัฒนาเขียว(Green Development),การเสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building)และการส่งเสริมความร่วมมือด้านสันติภาพและความมั่นคง ตอกย้ำว่าจีนต้องการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่สาธารณสุข เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ไปจนถึงความมั่นคง เพื่อสร้าง “ชุมชนแห่งอนาคตร่วมกัน” ระดับโลก โดยข้อริเริ่มเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ 17 เป้าหมาย ของสหประชาชาติด้วย

” สอนการจับปลาให้ผู้คนพึ่งพาตนเอง และฝึกอบรมทรัพยากร เทคโนโลยีเสริมสร้างการพึ่งพาตนเอง ”

อ.เหยา ซ่วย ยังได้อธิบายถึงรูปแบบของเงินทุน 3 ประเภทที่จีนใช้ในการช่วยเหลือ ได้แก่
เงินช่วยเหลือเพื่อสวัสดิการ ,เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อโครงการสาธารณูปโภค โดยมีเงื่อนไขผ่อนผันการชำระหนี้ และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หากประเทศผู้กู้ไม่สามารถชำระคืนได้ จีนมีนโยบายยืดหยุ่น เช่น ยกหนี้บางกรณีตามข้อตกลงระหว่างประเทศ

ในประเด็นการช่วยเหลือระหว่างประเทศ อ.เหยา ซ่วย เปรียบเทียบแนวทางของจีนกับสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า จีนยึดแนวทาง “รัฐต่อรัฐ” และพิจารณาจากความต้องการของประเทศผู้ขอรับการช่วยเหลือ ขณะที่สหรัฐฯ มักผ่านองค์กร NGO และเลือกช่วยเหลือโครงการที่สหรัฐฯ สนใจเอง

ส่วนกรณีของ การก่อสร้างอาคาร สตง.ที่มีบริษัทจีน ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ร่วมลงทุนนั้น ยอมรับว่าข้อมูลที่ตนเองได้รับยังน้อยเพราะจีนได้รับข่าวเรื่องนี้ค่อยข้างน้อย แต่ทราบว่าโครงการนี้ไม่ได้อยู่ในโครงการที่ให้การช่วยเหลือของจีน และเงินทุนอยู่ที่ประเทศไทย

พร้อมย้ำว่า นโยบายทางการทูตของจีนที่จะเข้าไปเจริญสัมพันธไมตรีในประเทศกำลังพัฒนาด้วยการสร้างรถไฟ ย้ำว่า ทางจีนดูที่ประเทศนั้นๆ ว่าต้องการความช่วยเหลือตรงนี้หรือไม่ จากนั้นก็จะมีการพิจารณาว่าควรให้การช่วยเหลือหรือไม่ ส่วนการเข้าไปช่วยเหลือก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแค่รางรถไฟเท่านั้น ยอมรับว่าข่าวสารที่กระจายไปทั่วโลกตอนนี้ที่เกี่ยวกับจีนไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกตั้งข้อสังเกต เป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตา มองว่าบางครั้งลักษณะของการรายงานข่าว ก็ทำให้เกิดสถานการณ์บานปลาย ซึ่งจีนก็น้อยใจเหมือนกัน

อ. เหยา ซ่วย กล่าวย้ำว่า หลักการเข้าไปช่วยเหลือ ยึดหลักวินๆหรือได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย และวิธีการที่ทำระหว่างประเทศเป็นไปเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น และไม่เพียงด้านเศรษฐกิจ แต่ยังมีด้านการช่วยเหลือด้านสาธารณสุข เพื่อรักษาพยาบาลและอำนวยความสะดวกด้านการแพทย์ถือได้ว่าจีนให้การช่วยเหลือ และได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ถามย้ำว่าการที่จีนมีนโยบายไปลงทุนและช่วยเหลือในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมด จริงๆแล้วเป็นนโยบายการไปลงทุนหรือไปช่วยเหลือ และมีเงื่อนไข อะไรที่นักวิจัยได้ศึกษาเพราะ การไปช่วยเหลือของจีนมักถูกมองว่ามาแบบเพื่อนหรือทำแบบนักลงทุนโดยตลอดเวลา เงื่อนไขในการไปมีอะไรบ้าง แตกต่างจากการมาของฝั่งยุโรปอย่างไรในประเทศกำลังพัฒนา จีนใช้อะไรอธิบายในการเข้าไปแก้ปัญหา เพื่อบอกว่าจีนไปแบบเป็นมิตร ไม่ได้กอบโกยผลประโยชน์

อ. เหยา ซ่วย กล่าวย้ำว่านโยบายการช่วยเหลือของจีนยึดหลักความเป็นเพื่อนและผลประโยชน์ร่วมกันมีความเข้าใจซึ่งกันและกันและเน้นย้ำว่าการช่วยเหลือเป็นเรื่องการเมืองระหว่าง 2 ประเทศและเรื่องมิตรภาพความสัมพันธ์ต้องมาเป็นอันดับแรก ผลประโยชน์มาทีหลัง และจีนยึดมั่นในหลักการว่าไม่เข้าไปแทรกแซงในเรื่องการเมืองแต่จะให้การช่วยเหลืออย่างเดียว เพื่อให้เกิดความประสงค์สำเร็จในโครงการที่ประเทศนั้นๆอยากได้ โดยจีนจะให้การช่วยเหลือระหว่างรัฐบาลและรัฐบาลส่วนยุโรปจะให้การช่วยเหลือผ่านองค์กร NGO อีกทั้งเท่าที่สังเกตในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาก็ตัดงบประมาณการช่วยเหลือประเทศต่างๆลง แต่จีนยังคงให้การช่วยเหลือและไม่เปลี่ยนไปตามกระแสของอเมริกา

ในช่วงท้าย อ.เหยา ซ่วย ยังได้พูดถึงรูปแบบ ความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศของจีน คือด้านทรัพยากรบุคคล โดยมีโครงการฝึกอบรม แบบทวิภาคีมีนักศึกษาจากหลายประเทศมาร่วมฟังการบรรยายเพื่อต่อยอดองค์ความรู้เพื่อกลับไปพัฒนาประเทศ และจีนก็ส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ไปยังประเทศเป้าหมายเพื่อจัดการฝึกอบรม โดยในแต่ละปีเกิน 40,000 คน และพัฒนาศักยภาพให้กับกลุ่มวิชาชีพที่คล้ายกัน โดยนอกจากประเทศที่มีการสถาปนาทางการทูตแล้ว ยังมีการช่วยเหลือประเทศที่ยังไม่มีกาทางสถาปนาทางการทูตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ได้ยกตัวอย่างการช่วยเหลือที่เห็นเป็นรูปธรรม คือการเข้าไปช่วยเหลือเหตุแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดที่เมียนมาและไทยได้รับผลกระทบ จีนได้มอบเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 100 ล้านหยวน พร้อมจัดส่งวัสดุและทีมกู้ภัยระดับสูงไปช่วยเหลือและสนับสนุนทุนช่วยเหลือระยะยาว และส่งทีมประสานการช่วยเหลือด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นการตั้งศูนย์ช่วยเหลือหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ และยังมีการช่วยเหลือในอดีตจนถึงปัจจุบัน

พร้อมกล่าวว่า การพัฒนาเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ 3 ข้อ คือ ส่งเสริมการสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ ได้แก่ GDI, GSI, GCI ,ส่งเสริมการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวคือเน้นที่การดำรงชีพของประชาชนและ สนับสนุนพหุภาคี และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง ด้วยความช่วยเหลือกับการค้าและการ ลงทุน ความร่วมมือไตรภาคี และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน

ทั้งนี้ การบรรยายเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้เข้าร่วมอบรมต่างให้ความสนใจและตั้งคำถามถึงการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาของจีน ท่วมกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการตอกย้ำถึงความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เกี่ยวกับจีนในมิติต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างสะพานแห่งมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างไทยกับจีนในอนาคต